อยากเกริ่น context ของเราก่อนนิดนึงว่าเราเจอคนแนะนำหนังสือเรื่องนี้ในทวิต ตามไปอ่านเรื่องย่อแล้วก็ตัดสินใจซื้อในงานหนังสือ หลังจากนั้นก็ใช้เวลาหลายเดือนเหมือนกับกว่าจะหยิบมันขึ้นมาอ่าน เราเริ่มอ่านเบ็ตตี้ตอนเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ จนกระทั่งอ่านจบ เราก็ยังเป็นเด็กจบใหม่ที่ยังว่างงานอยู่เหมือนเดิม 555555555555555555555555

นิยายเรื่องนี้ว่าด้วยตัวเอกอย่าง ‘ออกัสตัส’ ที่ได้เข้าไปทำงานที่ร้านเบ็ตตี้ ถ้าจะให้พูดเข้าใจง่าย ก็คงเป็นร้านขายของชำที่ใหญ่ที่สุดและพร้อมแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ทุกเรื่องด้วยสินค้าในร้านของพวกเรา ฟังแล้วเป็นร้านที่ magical สุดๆ

อันที่จริงแล้วเราหยิบเบ็ตตี้มาไว้อ่านเวลานั่งรถไฟไปไหนมาไหน แต่จะบอกว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เอาไปอ่านบนรถไฟ อ่านไปไม่ถึง 10 หน้า เราต้องปิดหนังสือเพราะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ มันคือตอนที่ออกัสตัสกำลังเล่าเรื่องชีวิตตัวเอง แน่นอนว่าเหตุผลที่ร้องไห้ก็ไม่ใช่อะไรเลย เพราะอ่านแล้วนึกถึงตัวเองนั่นล่ะ เป็นคนประเภทที่ไม่มีใครกดดันเลยพาลไปกดดันตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่

พออ่านไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่แค่การที่เบ็ตตี้ทุกคนช่วยกันดูแลลูกค้า แต่มันยังพาเราไปรู้จักกับเบ็ตตี้แต่ละคนและผู้คนอีกมากมาย ได้มองเห็นมุมมองที่แตกต่างของผู้คน ได้เห็นสายสัมพันธ์ของผู้คน นอกจากนั้นแล้วยังมอบข้อขบคิดมากมายที่ถึงแม้จะเรียบง่าย แต่ก็มีประโยชน์เหลือคณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้ชีวิต มักจะมีคำคมบางอย่างออกมาให้เราตระหนักถึงอยู่เสมอ

นอกจากเรื่องราวของออกัสตัสแล้ว เราก็ยังมีเบ็ตตี้คนอื่นที่มาโชว์ตัวอีก ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้จากดีแลนที่วิ่งไล่ตามความฝันอย่างสดใส การวาง boundary จากครอบครัวของยูจีน หรือแม้กระทั่งความเป็นเพื่อนของแฟรงค์กับแซม นอกจากนั้นยังมีตัวละครสมทบอีกมากมายให้เราได้เรียนรู้อย่างเช่น อลัน พี่ชายสุดเฮงซวยของออกัสตัสที่เหน็บแนมน้องชายที่ลาออกจากบริษัทไปเป็นเบ็ตตี้ ยิ่งตอกย้ำว่าก่อนจะทำอะไรจะพูดอะไร คิดให้ดี อย่าโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราเกลียด

พอพูดถึงร้านเบ็ตตี้ จริงๆ ตอนอ่านก็มีหลายแว้บเหมือนกันที่รู้สึกว่า ‘หรือเราจะลองไปสมัครงานสาย customer service แบบนี้บ้างดีนะ’ เพราะร้านเบ็ตตี้เป็นร้านที่เรียกว่าที่ทำงานในฝันเลย พนักงานทุกคนตั้งใจทำงานและพร้อมให้ความช่วยเหลือ งานไม่โหลด เจ้านายไม่กดขี่ลูกจ้าง สวัสดิการดี เงินเดือนดี ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็ดีมาตั้งแต่ใบสมัครแล้ว ในตอนท้ายของเล่มจะมีประกาศรับสมัครงานของร้านเบ็ตตี้อยู่ และสิ่งที่เราประทับใจคือไม่ว่าคุณจะผ่านเข้าไปรอบสัมหรือไม่ ร้านเบ็ตตี้ก็จะอีเมลแจ้งคุณเสมอ

เรื่องบังเอิญอย่างนึงคือเราอ่านเรื่องนี้จบในช่วงปลายปีพอดี เหมือนกันกับช่วงเวลาตอนจบของเบ็ตตี้ที่เป็นช่วงคริสมาสต์ รู้สึกว่าเป็นความบังเอิญที่น่ารักดี แต่ไม่ว่าจะบังเอิญแค่ไหน ก็รู้สึกเลยว่าหนังสือเล่มนี้เขียนมาเพื่อให้เราอ่านในช่วงเวลานี้อย่างแท้จริง เพราะอย่างนั้น ใครที่กำลังกลัวการมีกองดอง อย่าได้สนใจคำของคนอื่น หนังสือทุกเล่มจะถูกหยิบมาอ่านตอนไหนก็เป็นเรื่องของคุณ เหมือนกับการที่เราอ่านเบ็ตตี้ที่โดนเราดองไปหลายเดือน ถ้าเราอ่านมันตั้งแต่วันแรกที่ซื้อมา เราคิดว่าเบ็ตตี้คงจะไม่ resonate กับเราขนาดนี้เหมือนกัน